“สภาพคล่อง”
- paengmini07
- 11 ส.ค. 2563
- ยาว 2 นาที
ยุคนี้ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า การมีรายได้ทางเดียวถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก เพราะหากรายได้ดังกล่าวขาดหายไป ก็จะกระทบกับ “สภาพคล่อง” ทางการเงินของเราทันที
.
ดังนั้น สำหรับใครที่ตอนนี้มีงานประจำอยู่แล้ว หรือ มีรายได้ที่ค่อนข้างคงที่ ก็ควรคิดถึงการสร้างรายได้เสริมควบคู่ไปกับรายได้ปัจจุบันด้วย
.
โดยสิ่งแรกให้ลองเน้นไปที่การพัฒนาต้นทุนทางปัญญาของตัวเองที่มีอยู่แล้ว เช่น ความรู้ ทักษะ งานอดิเรก ประสบการณ์ คอนเนคชั่น และ ไอเดีย แล้วนำมาพัฒนาขึ้นให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อื่น จนสามารถเป็นรายได้เสริม เพิ่มตะกร้าใบที่ 2, 3 และ 4 ได้
.
โดยโค้ชหนุ่ม หรือ ที่เรียกกันว่า Money Coach ได้แนะนำวิธีการสร้างรายได้เสริมจากต้นทุนทางปัญญาเอาไว้ในหนังสือ MONEY 101 อยู่ทั้งหมด 4 ทาง คือ
.
1) จาก ความรู้ หรือ ทักษะ ที่ตัวเองมี
.
อันดับเเรกลองค้นดูหลักฐานการศึกษาหรือประกาศนียบัตร ฝึกอบรมที่เคยผ่านมาทั้งหมด เพราะมันอาจเจอไอเดียในการเริ่มต้นอาชีพเสริมได้
.
เช่น เรียนจบมาทางบัญชี ก็อาจหารายได้เสริมโดยการรับจ้างทำบัญชี หรือถ้าเคยเข้าคอร์สเรียนทำขนมก็อาจเอาความรู้มาลองทำขนมขาย หรือจะทำคลิปวิดีโอสอนทำขนม เพื่อรับค่าโฆษณาจากทางยูทูบบ้างก็ได้
.
ผมเองตอนสมัยเรียนอยู่มัธยมเคยเป็นนักกีฬาเทควันโด ซึ่งก็พอจะมีผลงานที่สามารถนำมาทำการตลาดให้คนอยากมาเรียนอยู่บ้าง
.
แต่ด้วยความที่ตอนนั้นยังเด็กอายุประมาณ 16 ปี ซึ่งไม่มีเงินทุนพอที่จะเช่าสถานที่เปิดโรงเรียน หรือ ซื้ออุปกรณ์การเรียนอยู่แล้ว เพราะต้องบอกว่าอุปกรณ์กีฬาเทควันโดนั้นค่อนข้างแพงราคาแต่ละชิ้นประมาณ 1,000 UP
.
ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยลองทักแชทไปหา ผู้อำนวยการโรงเรียนว่าอยากจะเปิดชมรมสอนเทควันโดในโรงเรียนช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ โดยใช้โรงยิมของโรงเรียนเป็นสถานที่ฝึกซ้อม และของบจากโรงเรียนในการซื้ออุปกรณ์ทั้งหมด
.
ผมเริ่มทำใบปลิวประชาสัมพันธ์เพื่อหาคนที่สนใจเรียน โดยเก็บค่าเรียนไม่เเพงคนละ 500 บาท เพราะไม่มีภาระค่าเช่าสถานที่และอุปกรณ์ใดๆ ผมมีหน้าที่แค่สอนเท่านั้น
.
ซึ่งตอนนั้นมีคนสนใจมาเรียนกับผมประมาณ 20 คน ผมจึงมีรายได้ประมาณ 10,000 บาท/เดือน
.
2) จาก งานอดิเรก หรือ ประสบการณ์ ที่เคยผ่านมา
.
ลองสำรวจตัวเองดูว่างานที่เคยทำหรืองานอดิเรกคืออะไร เคยถูกเจ้านายมอบหมายให้ทำอะไรบ้าง เคยมีประสบการณ์ทำกิจกรรมอะไรกับเพื่อนๆ สมัยมหาวิทยาลัยหรือเพื่อนที่ทำงานบ้าง
.
ลิสต์ออกมาให้หมด แล้วลองนั่งคิดต่อยอดดูทีละอย่างว่าอะไรที่พอจะสร้างเป็นงานเสริมได้บ้าง เเละที่สำคัญต้องค้นหาตลาดให้เจอ
.
ถ้าเป็นคนชอบกินชอบเที่ยวก็ลองทำเพจ ชวนกิน พาเที่ยว ลงในสื่อออนไลน์เพื่อรับค่าโฆษณา
.
ส่วนตัวผมเองชอบอ่านหนังสือเป็นงานอดิเรก เวลาอ่านหนังสือเยอะๆ มันก็จะมีไอเดียใหม่ๆ ซึ่งไอเดียเหล่านั้นก็สามารถนำมาเขียนบทความให้เหล่านักอ่านได้
.
ส่วนตลาดของการอ่าน ตอนนั้นก็มีแอพที่ชื่อ Blockdit ซึ่งเป็นเเอพที่เปิดให้คนมาเขียนบทความโดยมีรายได้ 100-300 บาท/บทความ เป็นค่าตอบแทนหากบทความของเราถูกใจผู้อ่าน
.
หลังจากเขียนไป 1 ปี ก็มีคนเข้ามาปรึกษาขอให้เลือกหนังสือที่เหมาะกับตัวเองให้ ก็เลยเกิดไอเดียตอนนั้นว่าจะรับให้คำปรึกษาและขายหนังสือมันซะเลย
.
3) สายสัมพันธ์ที่นำไปสู่โอกาสทางธุรกิจ
.
ลองมองดูคนรอบข้างว่าเขาทำอะไรอยู่ แล้วลองหาช่องทางเชื่อมโยงกับเขาเพื่อสร้างเป็นรายได้เสริม ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้เหมือนกัน
.
โค้ชหนุ่มเล่าในหนังสือ MONEY 101 ว่าเคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งเธอไปสมัครเรียนคอร์สงานคราฟต์แบบ DIY (Do It by Yourself) ทั้งงานไม้ งานเย็บปักถักร้อย
.
หลังเรียนจบเธอเรียนเย็บซองผ้าสำหรับใส่โทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตส่งเป็นการบ้าน แล้วโพสต์รูปลง FB เพียงเพื่อยากโชว์ผลงานตัวเอง
.
หลังจากโพสต์ไปได้ไม่นานก็มีเพื่อนติดต่อหลังไมค์มาขอให้เธอเย็บซองผ้าสำหรับใส่โทรศัพท์จำนวน 300 ชิ้น เป็นของชำร่วยแจกงานแต่งงาน
.
เเน่นอนว่าเธอไม่สามารถเย็บคนเดียวได้ทั้ง 300 ชิ้นอยู่เเล้ว เธอจึงรับหน้าที่การตลาดเเล้วนำงานไปจ่ายให้กับทุกคนที่มาเรียนคอร์ส DIY ด้วยกัน
.
เพียงเท่านี้อาชีพเสริมเล็กๆ ก็เริ่มตันขึ้นได้แล้ว แถมยังมีพอร์ตงานเอาไว้โชว์ลูกค้าคนอื่นเพื่อรับงานในอนาคตได้อีก
.
4) ไอเดียทางธุรกิจ (จากปัญหาที่พบ)
.
แนวทางสุดท้ายก็คือ ไอเดียงานเสริมหรือธุรกิจที่เกิด "ปัญหา" ร่วมกันของคนส่วนใหญ่ และเรามองเห็น "โอกาส" "ช่องว่าง" หรือ "วิธีการ" ที่สามารถ "จัดการ" กับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แบบนี้ก็สามารถพัฒนาเป็นอาชีพเสริม และต่อยอดเป็นธุรกิจได้เหมือนกัน
.
ส่วนตัวผมก็คือการทำธุรกิจ การขายหนังสือ นี่แหละ
.
ซึ่งถ้าใครที่เคยซื้อหนังสือกับผมจะรู้ว่า ผมไม่ได้ขายเหมือนคนอื่น เพราะการขายของผมคือการเลือกหนังสือที่เหมาะสมให้กับลูกค้า
.
เพราะผมเจอปัญหาว่าคนส่วนใหญ่สนใจอยากอ่านกันสือกันเยอะมาก แต่แค่ไม่มีใครบอกเขาว่า ถ้าเขาอยากทำธุรกิจ อยากทำออนไลน์ อยากเป็นนักขาย อยากบริหารคนให้เก่ง หรือ แม้กระทั่งกำลังอกหัก ควรอ่านเล่มไหน
.
ผมจึงแก้ปัญหานี้ด้วยการเลือกหนังสือที่เหมาะกับเขาให้ซะเลย ซึ่งเป็นบริการที่ไม่มีในตามร้านหนังสือทั่วไป
.
และถ้าหากเราสามารถแก้ “ปัญหา” ให้กับผู้คนคนได้ เขาก็พร้อมที่จะ “จ่ายเงิน” ให้กับเราได้อย่างไม่ยากเย็น
.
เอาจริงๆ ย้อนกลับไปตอนผมเริ่มอ่านหนังสือใหม่ๆ ผมเองก็คาดคิดเหมือนกันว่ามันจะนำมาสร้างรายได้ได้มากขนาดนี่
.
จากแต่ก่อนผมจะอ่านหนังสือที ต้องกำเงินเท่าค่าแรงขั้นต่ำไปซื้อหนังสือ แต่ตอนนี้กลับมีผู้เขียนและสักนักพิมพ์ส่งหนังสือมาให้ผมอ่านถึงหน้าบ้านฟรีๆ จนแทบอ่านไม่ทัน
.
มาถึงตรงนี้ผมไม่เสียดายเงินกว่าครึ่งแสนที่ผมนำไปซื้อหนังสืออ่านเลย เพราะตอนนี้มันสามารถสร้างรายได้ให้ผมได้มากกว่า ค่าความรู้ ที่เคยเสียไปหลายเท่า
.
เพราะฉะนั้นคุณลองสังเกตงานอดิเรก หรือ สิ่งที่คุณชอบทำทุกวันดูครับ ลองเติมความคิดสร้างสรรค์เข้าไป แล้วลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ มันอาจจะสร้างรายได้ให้กับคุณก็ได้
.
ถึงแม้เเรกๆ เงินอาจจะได้น้อย แต่ถ้าพัฒนาทุกวัน คุณอาจจะตกใจกับตัวเลขรายได้ที่มาจากงานอดิเรกของตัวเองไปเลยก็ได้
.
.
หลังจากได้ฟังเเนวทางเเละตัวอย่างทั้ง 4 ข้อเเล้ว คราวนี้มาลองประเมินโอกาสในการสร้างรายได้ของคุณให้มีหลากหลายทางดู ลิสต์ออกมาเเล้วเขียนลงในกระดาษให้เยอะที่สุดก่อน
.
อย่าเพิ่งคิดว่าอะไรจะทำหรือไม่ทำ แต่ให้ลิสต์รายการออกมาก่อน สร้างทางเลือกให้มากพอก่อน แล้วค่อยมาตัดสินใจทีหลังว่าอะไรคือทางเลือกที่ดีที่สุดเเล้ว
.
หลังจากลิสต์ออกมาแล้ว มันก็เหลือแค่ว่า คุณจะ “ลงมือทำ” หรือเปล่า เท่านั้นเอง...
.
.
.
ชีวิตที่มั่นคง เริ่มต้นด้วย ความรู้ทางการเงิน ด้วยการอ่านหนังสือการเงินดีๆ สักเล่ม อย่าง MONEY
.
.
“เปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น ด้วยการอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม”
.
แต่ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองควรอ่านเล่มไหน ทักมาปรึกษาสมองไหลได้เลย
.
สั่งซื้อหนังสือออนไลน์ง่ายๆ ส่งตรงถึงหน้าบ้านคุณ ได้ที่ Inbox เพจ #สมองไหล

Comments